1. คอมพิวเตอร์ (Computer) ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาไปจากยุคแรกที่เครื่องมีขนาดใหญ่
ทำงานได้ช้า ความสามารถต่ำ และใช้พลังงานสูง เป็นการใช้เทคโนโลยีวงจรรวมขนาดใหญ่ (Very Large Scale Integrated Circuit, VLSI) ในการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์
(Microprocessor) ทำให้ประสิทธิภาพของ
ส่วนประมวลผลของเครื่องพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาหน่วยความจำให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นแต่มีราคาลูกลง ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบัน
โดยที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในขณะนี้มีความสามารถเท่าเทียมหรือมากกว่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ในสมัยส่อนตลอดจนการนำคอมพิวเตอร์ชนิดลดชุดคำสั่ง
(Reduced Instruction Set Computer) หรือ RISC มาใช้ในการออกแบบหน่วยประเมินผล
ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่าย ๆ
นอกจากนี้พัฒนาการและการประยุกต์ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั่งสาขาวิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่ส่งผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีการประมวลผลตามหลักเหตุผลของมนุษย์หรือระบบปัญญาประดิษฐ์
2. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence ; AI) เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มี
ความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหาและให้เหตุผลได้เหมือนอย่างการใช้ภูมิปัญญาของมนุษย์จริง
ปัจจุบันที่ นักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขาวิชาได้ศึกษาและทดลองที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานที่มี
เหตุผล โดยการเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ซึ้งความรู้ทางด้านนี้ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ อย่างมากมาย เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างผู้เชี่ยวชาญและหุ่นยนต์(Robotics) เป็นการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ให้สามารถปฏิบัติงาน
และใช้ทักษะการเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับการทำงานของมนุษย์ เป็นด้น
3. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Executive Information
System ; EIS) เป็นการพัฒนาระบบ
สารสนเทศที่สนับสนุนในงานระดับวางแผนนโยบายและกลยุทธ์ขององค์การ โดยที่ EIS จะถูกนำมาให้ คำแนะนำผู้บริหารในการตัดสินใจ
เมื่อประสบปัญหาแบบไม่มีโครงสร้างหรือกึ่งโครงสร้าง โดย EIS เป็น ระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่พิเศษของผู้บริหารในด้านต่าง
ๆ เช่น สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การ รวมทั้งสถานะของคู่แข่งขันด้วย
โดยที่ระบบจะต้องมีความละเอียดอ่อนตลอดจนง่ายต่อการใช้งานเนื่องจากผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากไม่เคยชินกับการติดต่อและสั่งงานโดยตรงกับระบบคอมพิวเตอร์
4. การจดจำเลียง (Voice Recognition) เป็นความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่จะทำให้
คอมพิวเตอร์จดจำเสียงของผู้ใช้
ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสาขานี้ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่
นักวิทยาศาสตร์ต้องการ ถ้าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการนำความต่าง
ๆ มาใช้สร้าง ระบบการจดจำเลียงก็จะสามารถสร้างประโยชน์ไต้อย่างมหาศาลแก่การใช้งานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
สารสนเทศ โดยที่ผู้ใช้จะสามารถออกคำสั่งและตอบโต้กับคอมพิวเตอร์แทนการกดแป้นพิมพ์ซึ่งจะส่งผล
ให้ผู้ที่ไม'เคยชินกับการใช้คอมพิวเตอร์ให้สามารถปรับตัวเข้ากับระบบได้ง่าย เช่น
ระบบสารสนเทศสำหรับ ผู้บริหารระดับสูง การสั่งงานระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ และระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและขยายคุณค่าเพิ่มของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจ
5. การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Data
Interchange ; EDI) เป็นการส่งข้อมูลหรือ
ข่าวสารจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์ลื่น
โดยผ่านทางระบบลื่อสารข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ เช่น
การส่งคำสั่งซื้อไปยังผู้ขายโดยตรง
ปัจจุบันระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์คำกัง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานของแต่ละองค์การลง โดยองค์การจะสามารถส่งและรับสารสนเทศในการดำเนินธุรกิจ
เช่น ใบสั่งซื้อและใบตอบรับผ่านระบบลื่อสาร
โทรคมนาคมที่มีอยู่ ทำให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อมูลไม่ต้องเลียเวลาเดินทาง
6. เสนนใยแก้วนำแสง (Fiber Optics) เป็นตัวกลางที่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว
โดย อาศัยการส่งสัญญาณแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสงที่มัดรวมกัน การนำเส้นใยแก้วนำแสงมาใช้ในการลื่อสาร
ก่อให้เกิดแนวความคิดเกี่ยวกับ “ทางด่วนข้อมูล (Information
Superhighway)” นี้จะเชื่อมโยงระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศต่าง
ๆ ได้ง่ายและ รวดเร็วขึ้น ปัจจุบันเทคโนโลยีเส้นใยแก้วนำแสงได้ส่งผลกระทบต่อวงการสื่อสารมวลชนและการค้าขาย
สินค้าผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
7. อินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงไปทั่วโลก
มีผู้เข้งาน หลายค้านคนและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยที่สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสาร
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนด้นหาข้อมูลจากห้องสมุดต่าง ๆ
ได้ในปัจจุบันได้มีหลายสถาบันให้
ประเทศไทยที่เชื่อมระบบคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายนี้ เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
แห่งชาติ (Nectec) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นต้น
8. ระบบเครือข่าย (Networking System) โดยเฉพาะระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่
(Local Area Network, LAN) เป็นระบบสื่อสารเครือข่ายที่ใช้ในการระยะทางที่กำหนดส่วนใหญ่จะภายในอาคารหรือใน
หน่วยงาน LAN จะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้สูงขึ้น
รวมทั่งการ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้ข้อมูลร่วมกันและการเพิ่มความเร็วในการติดต่อสื่อสาร
นอกจากนี้ ระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยังผลักดันให้เกิดการกระจายความรับผิดชอบในการจัดการ
เทคโนโลยีสารสนเทศไปยังผู้ใช้มากกว่าในอดีต
9. การประชุมทางไกล (Teleconference) เป็นการนำเทคโนโลยีสาขาต่าง
ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่อง ถ่ายโทรทัศน์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสาน
เพื่อใช้สนับสนุนในการประชุมมีประสิทธิภาพ โดยผู้เข้าร่วมประชุมไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในห้องประชุมและพื้นที่เดียวกัน
ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาใน การเดินทาง โดยเฉพาะในสภาวะการจราจรที่ติดขัด
ตลอดจนผู้เข้าประชุมอยู่ในเขตที่ห่างไกลกันมาก
10.โทรทัศน์ตามสายและผ่านดาวเทียม (Cable and Sattlelite
TV) การส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านสื่อ ต่าง ๆ ไปยังผู้ชม
จะมีผลทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่ไปได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น
โดยที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ได้มากขึ้น
ส่งผลให้ผู้ชมรายการมีทางเลือกมากขึ้นและสามารถ ตัดสินใจในทางเลือกต่าง ๆ
ได้เหมาะสมขึ้น
11. เทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) เป็นการนำเอาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เก็บ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาจัดเก็บข้อมูลหรือข่าวสารในลักษณะที่แตกต่างกันทั่งรูปภาพ
ข้อความ เสียง โดยสามารถเรียกสับมาใช้เป็นภาพเคลื่อนไหวได้และยังสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ด้วยการประยุกต์เข้ากับความรู้
ทางด้านคอมพิวเตอร์
12.การใช้คอมพิวเตอร์ในการแก่อบรม (Computer Based
Training) เป็นการนำเอาระบบ
คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการแกอบรมในด้านต่าง ๆ หรือการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในด้านการเรียนการ
สอนที่เรียกว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน (Computer Assisted
Instruction) หรือ CAI” การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอนเปิดช่องทางใหม่ในการเรียนรู้โดยส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ตลอดจนปรัชญาการเรียนรู้ด้วยตนเอง
13. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ (Computer Aided
Design ; CAD) เป็นการนำเอา
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบข้อมูลเข้ามาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์รวมทั้งรูปแบบหีบห่อของ
ผลิตภัณฑ์หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยทางด้านการออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมให้มีความ
เหมาะสมกับความต้องการและความเป็นจริงตลอดจนช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในการออกแบบ โดยเฉพาะในเรื่องของเวลา
การแก้ไขและการจัดเก็บแบบ
14. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต(Computer Aided
Manufacturing ; CAM) เป็นการนำ คอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิตสินค้าในโรงานอุตสาหกรรม
เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์จะมีความเที่ยงตรง และเชื่อถือไต้ในการทำงานที่ซ้ำกันตลอดจนสามารถตรวจสอบรายละเอียดและข้อผิดพลาดของผลิตภัณฑ์
ไต้ตามมาตรฐานที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยประหยัดระยะเวลาและแรงงาน
ประการสำคัญช่วยให้คุณภาพของ ผลิตภัณฑ์มีความสมาเสมอตามที่กำหนด
15. ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์(Geographic Information
System ; GIS) เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์ทางต้านรูปภาพ
(Graphics) และข้อมูลทางภูมิศาสตร์มาจัดทำแผนที่ในบริเวณที่สนใจ
GIS สามารถนำมาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการต่าง
ๆ เช่น การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) การกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศและ,ท้องลื่น
การวางแผนทางการตลาด การบริหารการขนส่ง การสำรวจและวางแผนปองกันธรรมชาติ
การช่วยเหลือและกู้ภัย เป็นต้น
การปฏิบัติตนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศไต้มีบทบาทที่สำคัญต่อวิถีชีวิตและสังคมของมนุษย์
เทคโนโลยีสารสนเทศไต้สร้างการเปลี่ยนแปลงและโอกาสให้แก่องค์การ เช่นเปลี่ยนโครงสร้าง
ความสัมพันธ์และการแข่งขันในอุตสาหกรรม
ปรับโครงสร้างการดำเนินงานขององค์การเพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิตและบริการ
เป็นต้นเนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดรูปแบบใหม่ในการติดต่อสื่อสาร
และมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทำให้มีการพัฒนาและกระจายตัวของภูมิปัญญา ซึ่งต้องอาศัยบุคคลที่มี
ความรู้และความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยี
โดยที่ผู้บริหารจะต้องเตริยมความพร้อมสำหรับองค์การ ดังต่อไปนี้
1. ทำความเข้าใจต่อบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจปัจจุบัน
2. ระบบสารสนเทศเกี่ยวข้องคับการจัดการข้อมูลขององค์การ
3. วางแผนที่จะสร้างและพัฒนาระบบ
โดยที่การเตริยมงานเพื่อให้การดำเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศขององค์การประสบความสำเร็จ
ควร ประกอบด้วยการเตริยมการในต้านต่อไปนี้
1. บุคลากร การเตริยมบุคลากรให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะสร้างและพัฒนา
ตลอดจนการใช้ งานระบบสารสนเทศเมื่อจัดสร้างเรียบร้อยแล้ว
บุคลากรที่ต้องจัดเตรียมควรเป็นทั้งระดับผู้บริหาร นัก เทคโนโลยีสารสนเทศ
นักวิชาชีพเฉพาะและพนักงานปฏิบัติการ เพื่อให้มีความรู้ทักษะ และความเข้าใจใน
ขีดความสามารถและศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยการจัด!เกอบรมหรือบรรยายพิเศษ รวมทั้งการสรรหาบุคลากรทางสารสนเทศให้สอดคล้องกับความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตของหน่วยงาน
2. งบประมาณ เตรียมกำหนดจำนวนเงินและวางแนวทางในการจัดหาเงินที่จะมาพัฒนาระบบ
สารสนเทศให้เพียงพอกับแผนที่วางไว้ตลอดจนจัดทำงบประมาณสำหรับการพัฒนาระบบในอนาคต
เนื่องจากเทคโนโลยีขององค์การอาจจะล้าสมัยและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะเวลาสั้น
3. การวางแผน ผู้บริหารต้องจัดทำแผนการจัดสร้างหรือพัฒนาระบบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ซึ่งอาจจะต้องมีการจัดทั้งคณะทำงาน ซึ่งอาจจะประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้ใช้
นักออกแบบระบบ และ
ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาปฏิบัติงานร่วมกัน
องค์การที่เจริญเติบโตในอนาคตต้องสามารถประยุกต์เทคโนโลยีเข้าไปในโครงสร้างการ
บริหารงานและการติดต่อสื่อสารโดยเทคโนโลยีสารสนเทศเปรียบเสมือนเส้นประสาทของธุรกิจ
แต่การ ประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์การจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและบุคลากรมากกว่าการเพิ่ม
ประสิทธิภาพหรือการลดขั้นตอนในการทำงาน
การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับจริยธรรม และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
เช่น การไหลเวียนของข้อมูลผ่านขอบเขตขององค์การและเขตแดนของ ประเทศ
การติดตามผลและตรวจสอบการทำงานกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน การทุจริตหรือฉ้อโกงใน
ระบบเครือข่าย การก่อนการร้ายหรือการโจรกรรมซึ่งผู้บริหารจะต้องติดตามทำความเข้าใจในศักยภาพและ
ผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อองค์การและสังคมเพื่อให้เลือกใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสูดและก่อให้เกิดผลกระทบในต้านลบน้อยที่สูดต่อองค์การและสังคมแวดล้อม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น